ผ้าลายกาบบัว
เอกลักษณ์ของผ้าลายพื้นเมือง ที่ได้รับการกล่าวขานถึง จากครั้งอดีตจนถึงปัจจุบันของชาวอุบลราชธานีคือ ผ้ากาบบัว ชื่อนี้เป็นที่ถกเถียง และสงสัยกันมากถึงที่มาที่ไป ทำไมจึงเป็น กาบบัว ไม่ใช่ กลีบบัว และลายที่แตกต่างนั้นดูตรงส่วนใด? คำถามเหล่านี้ผู้เขียนได้รับการสอบถามอยู่เสมอ จากเพื่อนพ้องต่างถิ่น ผู้มาเยือน และแม้แต่ลูกศิษย์ลูกหาที่สนใจใคร่รู้ จึงเป็นที่มาของเรื่องราวที่จะกล่าวถึง ตำนาน และความภาคภูมิใจของชาวอุบลราชธานี
ผ้ากาบบัว อาจทอด้วยฝ้ายหรือไหม ประกอบด้วยเส้นยืนย้อมอย่างน้อยสองสี เป็นริ้วตามลักษณะ "ซิ่นทิว" ซึ่งมีความนิยมแพร่หลายแถบอุบลราชธานี ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังทอพุ่งด้วยไหมสีมับไม (ไหมปั่นเกลียวหางกระรอก) มัดหมี่ และขิด
ผ้ากาบบัว (จก) คือ ผ้าพื้นทิว หรือ ผ้ากาบบัวเพิ่มการจกลาย เป็นลวดลายกระจุกดาว (บางครั้งเรียก เกาะลายดาว) อาจจกเป็นบางส่วน หรือกระจายทั่วทั้งผืนผ้า เพื่อสืบทอด "ซิ่นหัวจกดาว" อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผ้าซิ่นเมืองอุบล ผ้ากาบบัว (จก) นี้เหมาะที่จะใช้งานในพิธีหรือโอกาสสำคัญ
ผ้ากาบบัว (คำ) คือ ผ้าทอยก (บางครั้งเรียก ขิด) ด้วยไหมคำ (ดิ้นทอง) อาจสอดแทรกด้วยไหมเงิน หรือไหมสีต่างๆ อันเป็นผ้าที่ต้องใช้ความประณีตในการทออย่างสูง
ผ้ากาบบัว คือ ผ้าที่ใช้เทคนิค 4 เทคนิคผสมกันในการทอ เริ่มจากเส้นยืนที่ต้องใช้ 2 สีขึ้นไป เพื่อให้เกิดลายทิวหรือลายแนวนอนขวางลำตัวเวลานุ่งซิ่น ส่วนเส้นพุ่งประกอบด้วย 3 เทคนิค นั่นคือ ยก (หรือ ‘ขิด’ ภาษาอีสาน แปลว่า การสะกิดเส้นยืนเพื่อให้เกิดลวดลายแค่บางจุด) หางกระรอก (หรือ ‘มับไม’ ภาษาอุบลคือการนำเส้นไหม 2 เส้นมาพันเกลียวกันก่อนใส่กระสวยทอ) และมัดหมี่ (คือการใช้เชือกมัดบางจุดก่อนย้อม ทำให้สีติดบางส่วนจนเกิดลวดลาย)
ในอดีต ผ้ากาบบัว ต้องมีลายทิวหรือลายแนวนอน ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มไทและไทยวน รวมถึงชาวอุบลสมัยก่อน เป็นคุณสมบัติที่ผ้ากาบบัวทุกผืนต้องมี ผ้ากาบบัวรุ่นต่อมายังมีการเพิ่มลวดลายจกดาวที่ตีนซิ่น การจกดาว คือ การเอานิ้วจกลงไประหว่างเส้นด้ายที่ขึงทออยู่ แล้วปักลวดลายเฉพาะจุดออกมาเป็นรูปดาวระยิบระยับ นี่คือลักษณะเด่นที่ไม่มีในผ้าเก่าของจังหวัดอีสานอื่นใดเลยนอกจากอุบลราชธานี
ผ้ากาบบัวคำ ผ้ากาบบัวรุ่นที่เพิ่มเทคนิคยกทองเข้าไป การยกทอง คือ การตีโลหะให้เป็นเส้นบางมากๆ แล้วทอแทรกเข้าไประหว่างไหม ทำให้ได้ผ้าออกมาแวววาวแต่ก็หนักสุดๆ ด้วย นี่เป็นเทคนิคที่เคยเกือบสูญหายไปจากอุบลราชธานี เพราะคนธรรมดาสามัญในสมัยก่อนนั้นห้ามใส่ผ้ายกทอง สงวนไว้สำหรับเจ้านายและผู้สืบสกุลจากเจ้าเมือง ทำให้มีทอผ้ากาบบัวคำนี้เฉพาะในวังเจ้าวังนายเท่านั้น ทำให้ยังคงมีภูมิปัญญานี้อยู่จนปัจจุบัน
