วัสดุและอุปกรณ์
1.กี่
2. ไหมประดิษฐ์
3. เครื่องค้นด้าย
4. ฟันฟืมหรือฟันหวี
5. ไม้ม้วน
6. ตะกอ
กระบวนการและขั้นตอนในการทำผ้าขาวม้า
การเตรียมด้าย
เตรียมด้ายประดิษฐ์ที่ยังไม่ได้ม้วนใส่ในหลอดแปปมาใส่ โดยนำด้ายประดิษฐ์มาคล้องใส่ในอุปกรณ์การปั่นด้าย ที่เรียกว่า “ไน กับ ระวิง” เพื่อด้ายจะได้ม้วนออกมาใส่ในหลอดแปปโดยการใช้อุปกรณ์ในการควงเป็นตัวในการปั่นด้ายหลังจากนั้นจึงควงด้าย ควงด้ายใส่หลอดแปปจนหมดโดยการปั่นต้องมีคนปั่นด้วย 1 คน และอีกคน 1 เป็นคนเรียงด้าย เพื่อไม่ให้พื้นที่ในการเรียงด้ายไม่เว้นว่าง ควรทำให้เต็มหลอด และไม่ให้ด้ายที่ควง พันกัน การปั่นด้ายที่ดีควรให้ด้ายพันหลอดเป็นรูปคล้ายกระสวย
การตั้งลาย
การกำหนดลายโดยวางด้ายตามตำแหน่งบนอุปกรณ์ คือ “ม้าตั้งลาย” ซึ่งทำเป็นราวมีหลักสำหรับเสียบหลอดด้าย
1.คำนวนความยาวของผ้าและลายที่ต้องการทอ กำหนดตำแหน่งในการวางด้ายแต่ละสี
2.เรียงจากขวาไปซ้ายตามลำดับสีของลายที่กำหนด
3.นำหลอดด้ายที่ผลัดไว้ตามจำนวนสีของลายที่จะทอ มาวางตามตำแหน่งที่กำหนด โดยเสียบกับหลักบนม้าตั้งลาย
การค้นด้าย
การกำหนดความกว้างยาวของด้ายยืน ให้ได้ความกว้างยาวตามที่ต้องการจะทอ ใช้อุปกรณ์ คือ “ม้าตั้งลาย”
“ม้าค้น” (บางแห่งเรียก หลักค้น)และ “กระบอกจูงด้าย”
1.ดึงปลายด้ายจากทุกๆ หลอดบนม้าตั้งลายมารวมกันตามลำดับที่จัดเรียง
2.ใช้กระบอกจูงด้ายซึ่งทำจากไม้ไผ่มาคล้องด้ายทั้งหมดดึงประคองเส้นด้าย นำมาพันบนม้าค้นเพื่อทำเป็นด้ายยืน
3.เดินสาวด้ายวนกลับไป-มา คล้องหลักที่ม้าค้น เริ่มจากซ้าย หรือ ขวา ขึ้นกับการคำนวณจำนวนผ้าที่ต้องการทอ
4.จะเดินจากขวาไปซ้าย เพื่อให้ได้ความยาวของเนื้อผ้าเพิ่มขึ้น เมื่อเดินสุดแต่ละด้านก็คล้องด้ายเข้ากับหลักของม้าค้นด้านนั้น
5.เดินค้นด้ายให้ครบตามจำนวนความยาวของผ้าที่จะทอ
การรำวง
การเก็บด้ายทีละเส้นจากหลอดบนม้าตั้งลายมาพันไว้ที่นิ้วมือเป็นขั้นตอนหนึ่งในการค้นด้าย เมื่อค้นด้ายเที่ยวแรก(เที่ยวไป) ครบทุกหลัก ตามจำนวนความยาวของผ้าที่จะทอแล้วต้อง “รำวง” 1 ครั้ง
1.ใช้นิ้วเกี่ยวด้ายทุกเส้นจากหลอดบนม้าตั้งลายมาไขว้ที่ปลายนิ้วโป้ง ตามลำดับจากบนลงล่าง ซ้ายไปขวา
2.เมื่อเกี่ยวด้ายครบทุกหลอดนับเป็นการรำวง 1 ครั้ง
3.เดินค้นด้ายเที่ยวที่ 2 (เที่ยวกลับ) ให้ครบทุกหลักจนมาบรรจบกับหลักเริ่มต้นบนม้าค้น เป็นการจบการเดินค้นด้าย 1 เที่ยว
ทำเช่นนี้สลับกันไปจนครบตามจำนวนความยาวที่ต้องการ
4.เมื่อครบแล้วจึงปลดด้ายออกจากม้าค้น ด้วยการถักเปียกลุ่มด้ายที่ค้นแล้วให้เป็นห่วงโซ่ เพื่อไม่ให้ด้ายพันกัน
และสะดวกต่อการนำด้ายไปทำในขั้นตอนต่อไป
การร้อยฟันหวี
การสอดเส้นด้ายที่ผ่านการเดินด้ายแล้ว มาร้อยใส่ในช่องฟันหวี ซึ่งมีลักษณะเป็นกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำจากไม้ หรือ โลหะ มีฟันเป็นซี่ ถี่ๆ คล้ายหวี เป็นช่องสำหรับสอดด้ายยืน ฟันหวี ทำหน้าที่กระทบด้ายพุ่งที่สอดขัดกับด้ายยืนให้เรียงชิดกัน หวีมีขนาดความกว้างและความถี่ต่างกัน และเป็นตัวกำหนดจำนวนเส้นด้ายยืน ความถี่-ห่างของหวี มีผลต่อเนื้อผ้า คือ ฟันห่าง ด้ายยืนจะบางทำให้เนื้อผ้าไม่แน่น ฟันถี่ ด้ายยืนจะหนาเนื้อผ้าแน่นละเอียดกว่า
การจะใช้หวีขนาดใดขึ้นกับความหนาบางของเนื้อผ้า อุปกรณ์ที่ใช้ คือ หวี ขอรับด้าย (บางแห่งเรียก ไม้กวัก)
ซึ่งเดิมทำจากไม้ไผ่ ปัจจุบันประยุกต์ทำจากไม้บรรทัดเหล็ก
1.นำด้าย มาร้อยใส่ในฟันหวี หรือฟืม ขั้นตอนนี้ต้องช่วยกัน 2 คน คนที่ 1 ส่งด้าย โดยดีดเส้นด้ายที่ผ่านการรำวงมาแล้วออกจากกลุ่มด้าย ให้เส้นด้ายไปเกี่ยวกับขอรับด้ายที่คนที่ 2 ถือสอดรับอยู่ในฟันหวี
2.ร้อยเส้นด้ายทีละเส้น ให้เข้าไปอยู่ในฟันหวีทีละช่องให้ครบทุกเส้น จนกว่าด้ายจะหมดครบทุกช่องตามจำนวน
การหวีเก็บความยาวเข้าม้วน
เป็นการนำด้ายยืนที่ร้อยฟันหวี แล้ว มาแผ่เส้นจากที่ถักเปียเป็นกำอยู่ให้กระจายออก พร้อมกับหวีเก็บเข้าไม้ม้วนผ้า ขั้นตอนนี้ต้องช่วยกัน 2-3 คน อุปกรณ์ที่ใช้ คือ ม้าหวี สำหรับวางขึงด้ายที่จะม้วนปลายด้านหนึ่งมีคานหัวม้วน ซึ่งมีใบพัดสำหรับถีบติดอยู่ อีกด้านหนึ่งมีม้าทับ สำหรับทับเส้นด้ายให้ตึง สะดวกต่อการหวี ไม้ม้วนผ้า หรือ ไม้กะพั้น (บางแห่งเรียก ไม้กำผ้า ไม้กำพั่น กำพั้น หรือ พั้นรับผ้า) สำหรับม้วนเส้นด้าย ที่ถูกแผ่กระจายออกให้เรียงเส้นเป็นระเบียบ ฟันหวี กะนัด (ไม้แบบ 2 อัน สำหรับขัดเส้นด้ายบน-ล่าง กันด้ายยุ่ง) ไม้เรียว(บางแห่งเรียก ไม้คิ้ว)
1.นำด้ายที่ร้อยฟันหวีมาวางขึงบนม้าหวี โดยสอดด้ายผ่านม้าทับหนีบให้แน่นเพื่อดึงด้ายให้ตึง
2.นำปลายด้ายด้านที่มีฟันหวีไปวางบนคานหัวม้วนด้านตรงข้ามกับม้าทับ ผูกด้ายเป็นระยะๆ เข้ากับแกนของไม้ม้วน
3.สอดกะนัด เข้าระหว่างด้ายบน-ล่าง กลับกะนัดและผูกกะนัด 2 อันไม่ให้หลุดออกจากกัน
4.คนที่ 1-2 จับฟืมด้านซ้าย-ขวา ค่อยๆ ขยับฟืมออกโดยให้หน้าฟืมขนานกับลูกม้วน ซึ่งจะช่วยให้หวีง่ายขึ้น
ตรวจสอบฟันหวี ให้มีด้ายอยู่ครบทุกซี่ และคัดด้ายโดยใช้นิ้วมือดึงเส้นด้ายให้แยกจากกัน และใช้หวีสางด้ายไปพร้อมๆ กัน
เพื่อจัดเส้นด้ายสลับบน-ล่าง ให้เรียงตัวสม่ำเสมอเรียบร้อยไม่พันกัน
5.คนที่ 2 ม้วนเส้นด้ายเข้าในแกนของไม้ม้วน โดยการถีบรหัสปั่นแกนไม้ด้านที่ผูกไว้กับม้าหวี
6.หวีและม้วนด้ายเก็บจนหมดความยาวของเส้นด้ายการเก็บตะกอเขา หรือ เขาหูก (บางแห่งเรียก เขา หรือ หูก) คือ การร้อยเชือกสีขาวคล้องเข้ากับด้ายยืนที่หวีเก็บม้วนแล้วเพื่อหิ้วเส้นด้ายยืนไว้ทุกเส้น การทอผ้าปกติใช้ 2 ตะกอ แต่ละตะกอทำหน้าที่คุมด้ายยืนให้ยกขึ้น - ลงสลับกันทำให้ด้ายยืนบน-ล่างแยกจากกัน สามารถสอดกระสวยพาด้ายพุ่งผ่านไป-มาได้ การเก็บตะกอเขาสำหรับผ้าทอ จะทำใหม่ทุกครั้ง อุปกรณ์ที่ใช้ คือ ไม้ครู หรือ ไม้ตะกอเขา
การเก็บยก
ขั้นตอนสุดท้ายในการเตรียมด้ายยืน ก่อนนำไปผูกขึ้นกี่กระตุกเพื่อทอ การทอผ้าปกติทั่วไปจะทอสลับโดยยก 1 ข่ม 1 แต่ผ้าขาวม้าตาจักที่บ้านหนองขาว จะเพิ่มจุดเด่นด้วยการทอยก 2 ข่ม 2 ตรงกลางตาผ้าขาวม้าทุกตา พื่อให้เกิดลายนูนเป็นการเพิ่มลวดลายซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น เมื่อเตรียมขั้นตอนเก็บยกเรียบร้อย ม้วนด้ายก็พร้อมเดินทางไปยังผู้ทอในขั้นต่อไป
การทอกี่กระตุก
เป็นการประยุกต์เครื่องมือในการทอผ้าเลียนแบบระบบอุตสาหกรรม ตัวกี่ทำด้วยโครงไม้นั่งทอในท่าห้อยเท้า
เช่นเดียวกับกี่มือ หรือ หูกทอ ต่างกันที่ด้ายยืนกี่มือจะเรียงตามแนวดิ่ง กี่กระตุกเป็นแนวนอน กี่มือใช้มือส่งกระสวยเส้นพุ่ง
กี่กระตุกใช้มือกระตุกเชือกกลไกทำให้เกิดแรงกระแทกดันกระสวยพุ่งไป แทนการสอดด้วยมือช่วยให้ทอผ้าได้เร็วขึ้น
กี่กระตุกมีขนาดใหญ่กว่ากี่มือ มีส่วนประกอบ คือ ฟันหวี ตะกอเขา ไม้เหยียบหูก (บางแห่งเรียก คานเหยียบ หรือ ตีนเหยียบ)คานแขวน(บางแห่งเรียก คานหาบหูก) สายกระตุก หรือ เชือกดึงเวลาพุ่งกระสวย เป็นที่มาของการเรียก “กี่กระตุก” ไม้พาดนั่งไม้ม้วนผ้า ไม้ไขว้ ด้ายยืน รางกระสวย กระสวย หลอดด้ายพุ่ง
1.ยกลูกม้วนขึ้นกี่ ขึงด้าย นำตะกอเขาอันที่ 1 แขวนห้อยกับคานหลังคากี่ด้านบน อันที่ 2 ผูกโยงกับไม้เหยียบหูกด้านล่าง
2.เมื่อผู้ทอเหยียบไม้เหยียบหูก สลับซ้าย-ขวา จะทำให้ตะกอเขาถูกดึงยกขึ้น-ลง แยกด้ายยืนบน-ล่างออกจากกัน
3.ผู้ทอกระตุกเชือก กระสวยด้ายจะพุ่งผ่านด้ายยืนที่แยกออกวิ่งไปตามราง
4.ผู้ทอดึงฟันหวี หรือ ฟืม เข้าหาตัวเพื่อกระทบด้ายพุ่ง ทุกครั้งที่พุ่งจากริมผ้าด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ทำให้ด้ายพุ่งเรียงชิดกัน ทำเช่นนี้สลับกันไป-มา จนได้ความยาวของผ้าที่ต้องการ ปัจจุบันมีการนำผ้าขาวม้ามา ประยุกต์ทำหมอนขิด หมอนสามเหลี่ยม ซึ่งได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ